ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2560 ณ ห้องประชุมสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง สำนักงาน คปภ. ตนได้เป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วย การแลกเปลี่ยนข้อมูลกลางด้านการประกันวินาศภัย (Insurance Bureau System) ระหว่างสมาคมประกันวินาศภัยไทยและบริษัทประกันวินาศภัย จำนวน 60 บริษัท โดยมีนายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เป็นผู้กล่าวรายงานและร่วมแถลงข่าว จึงนับเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยที่เข้าสู่ยุคการเชื่อมโยงและบูรณาการฐานข้อมูลภายใต้บริบท Thailand 4.0
โดยสำนักงาน คปภ. ได้มีนโยบายในการพัฒนาฐานข้อมูลกลางด้านประกันภัยมาตั้งแต่การจัดทำแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 1 (2549-2554) ต่อมาจึงได้มีการออกคำสั่ง สำนักงาน คปภ. ที่ 223/2555 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทางการจัดตั้งศูนย์กลางข้อมูลทางด้านประกันวินาศภัย โดยมีผู้ช่วยเลขาธิการสายบริหารเป็นประธานคณะทำงาน และมีผู้แทนของสมาคมวินาศภัยไทยร่วมเป็นคณะทำงาน ซึ่งต่อมาสมาคมประกันวินาศภัยไทยได้ร่วมมือกับ สำนักงาน คปภ. พัฒนาระบบฐานข้อมูลกลางด้านการประกันวินาศภัย โดยทางสำนักงาน คปภ. สนับสนุนด้านผลการศึกษาวิเคราะห์และการวิจัย ตลอดจนการพัฒนาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ฯ และทางสมาคมประกันวินาศภัยไทยมีการตั้งผู้เชี่ยวชาญมาทำการออกแบบและพัฒนาระบบฯ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักงาน คปภ. จนแล้วเสร็จและมีการทดสอบประสิทธิภาพแล้ว ทั้งนี้การพัฒนาตามโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการระบบฐานข้อมูลการประกันวินาศภัยให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานระบบสารสนเทศของอุตสาหกรรมประกันภัยของประเทศ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย รวมทั้งช่วยยกระดับการพัฒนาธุรกิจและการกำกับดูแลธุรกิจประกันวินาศภัย
การลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลกลางด้านประกันวินาศภัยระหว่างสมาคมประกันวินาศภัยไทยกับบริษัทประกันวินาศภัยในครั้งนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากบริษัทประกันวินาศภัย โดยมีบริษัทประกันวินาศภัยเข้าร่วมลงนามถึง 60 บริษัท และทาง สำนักงาน คปภ. ร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งในแง่ของหน่วยงานกำกับดูแล ที่ริเริ่มในการผลักดันให้เกิดศูนย์กลางข้อมูลทางด้านประกันภัย หรือ Insurance Bureau ถือเป็นความสำเร็จก้าวสำคัญที่จะต่อยอดการจัดทำศูนย์กลางข้อมูลทางด้านประกันภัยให้ขยายไปถึงข้อมูลด้านการประกันชีวิตด้วย โดยจะได้ขยายผลดำเนินการในขั้นตอนต่อไป หลังจากที่ระบบฐานข้อมูลกลางด้านการประกันวินาศภัยมีเสถียรภาพและเริ่มขับเคลื่อนไปได้ระยะหนึ่ง
“ในยุคที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ฐานข้อมูลกลางด้านการประกันวินาศภัย หรือ Insurance Bureau ด้านประกันวินาศภัยจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพในการกำกับดูแลระบบประกันภัย ตลอดจนการเสริมสร้างการคุ้มครองสิทธิประโยชน์และสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลด้านประกันภัยได้ง่ายขึ้น และเกิดความเชื่อมั่นต่อระบบประกันภัยมากขึ้น นอกจากนี้ข้อมูลจาก Insurance Bureau นั้น ยังสามารถใช้ประโยชน์ในการอ้างอิงและพัฒนาประสิทธิภาพ การบริหารจัดการในการรับประกันภัย การกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยและค่าสินไหมทดแทน ได้อย่างสอดคล้องกับสภาพความเสี่ยงของการรับประกันภัยได้อย่างแท้จริง อันช่วยลดความเสี่ยงในปัจจุบันลงได้ ซึ่งในอดีตอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยขาดข้อมูลสถิติอ้างอิงในเรื่องต่างๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้แต่ละบริษัทต้องบริหารจัดการตามความแตกต่างของประสบการณ์ของแต่ละบริษัท”
เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า สำหรับสาระสำคัญในการทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลกลางด้านการประกันวินาศภัยระหว่างสมาคมประกันวินาศภัยไทยและบริษัทประกันวินาศภัย มีสาระสำคัญคือ บริษัทประกันวินาศภัย จะส่งข้อมูลเกี่ยวกับการรับประกันวินาศภัยและค่าสินไหมทดแทนให้กับ สำนักงาน คปภ. ตามคำสั่ง คปภ. และประกาศนายทะเบียนที่เกี่ยวข้อง โดย สำนักงาน คปภ. จะพิจารณาส่งข้อมูลด้านการประกันวินาศภัยที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ในการพัฒนาธุรกิจประกันภัยให้กับสมาคมประกันวินาศภัยไทย ซึ่งข้อมูลที่จะจัดส่งจะต้องไม่ใช่ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เอาประกันภัย ผู้รับผลประโยชน์และผู้ที่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทน
ทั้งนี้สมาคมประกันวินาศภัยไทยจะต้องส่ง Source Code ให้กับ สำนักงาน คปภ. ตลอดจนดูแลรักษาระบบฐานข้อมูลกลางด้านการประกันวินาศภัยให้มีความมั่นคง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพตลอดการดำเนินการ โดยต้องประสานให้การดำเนินงานของระบบฐานข้อมูลด้านการประกันวินาศภัยเป็นไปตามกฎหมาย ภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักงาน คปภ. ตลอดเวลา และต้องนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัย และเผยแพร่ให้บริษัทประกันวินาศภัยใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างเหมาะสม ตลอดจนต้องจัดส่งข้อมูลที่ได้วิเคราะห์ บริหารจัดการให้กับ สำนักงาน คปภ. ตามระเบียบที่ สำนักงาน คปภ.กำหนด เงื่อนไขที่ระบุใน MOU ซึ่งสมาคมประกันวินาศภัยต้องปฏิบัติตาม คือ สมาคมประกันวินาศภัยไทย จะต้องไม่นำข้อมูลทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อมูลไปเผยแพร่ต่อสาธารณชน บุคคลที่สาม หรือไม่นำข้อมูลที่ได้ไปแสวงหาผลประโยชน์ไม่ว่าทางหนึ่งทางใดในเชิงพาณิชย์ รวมตลอดถึงจะไม่นำข้อมูลที่ได้ไปกระทำการใดๆ อันเป็นทางที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทประกันวินาศภัย หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีการฝ่าฝืนเงื่อนไขดังกล่าว สมาคมประกันวินาศภัยไทยจะต้องยุติการรับข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลกลางด้านการประกันวินาศภัยและแจ้งให้สำนักงาน คปภ. ทราบในทันที และสำนักงาน คปภ. จะหยุดส่งข้อมูลด้านการประกันวินาศภัยให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยจนกว่าจะมีการดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไข
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า ฐานข้อมูลกลาง หรือ Insurance Bureau จะส่งผลทำให้ประชาชนได้รับความคุ้มครองสิทธิประโยชน์และสร้างความเป็นธรรมด้านการประกันภัยได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถติดตามการทุจริตฉ้อฉลจากธุรกิจประกันภัย สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับ ตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทประกันภัยได้อย่างเหมาะสม ทั้งด้านพฤติกรรมทางการตลาดในการรับประกันภัย และการจ่ายค่าสินไหมทดแทน รวมทั้งเป็นการยกระดับการดำเนินกิจการของธุรกิจประกันภัย มีฐานข้อมูลอ้างอิงอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยที่แท้จริง สนับสนุนการพิจารณาอัตราเบี้ยประกันภัย การบริหารความเสี่ยงของธุรกิจประกันภัย
นอกจากนี้ประโยชน์ที่ประชาชนและสาธารณชนจะได้รับ คือ สามารถเข้าถึงข้อมูลการประกันภัยและสินไหมทดแทนของตนเอง ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นต่ออุตสาหกรรมประกันภัยโดยรวม และในอนาคตจะมีการเผยแพร่ข้อมูลในรูปแบบ “ข้อมูลแบบเปิด” (Open Data) และพัฒนาการเชื่อมต่อเพื่อการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวในลักษณะ Open API (Automatic Programming Interface) เพื่อให้สาธารณชนเข้าถึงข้อมูลกรมธรรม์และค่าสินไหมทดแทนในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และความโปร่งใส ตลอดจนส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ด้านการประกันภัย
นอกจากการขับเคลื่อนเรื่อง Insurance Bureau แล้ว สำนักงาน คปภ. ยังเดินหน้าเรื่องการทบทวนและยกเลิกกฎระเบียบต่างๆที่ล้าสมัยและไม่จำเป็น (Regulatory Guillotine) ตามนโยบายของรัฐบาล โดยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะขึ้นมาดูแลในเรื่องนี้ และได้เดินหน้าการดำเนินงานไปแล้ว โดยในเบื้องต้นจะได้ยกเลิกประกาศและคำสั่งนายทะเบียนเกี่ยวกับการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจประกันวินาศภัยตามรูปแบบเดิม เพื่อรองรับการจัดทำระบบฐานข้อมูลการประกันภัยในรูปแบบใหม่ ซึ่งจะเป็นการลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแล และขณะเดียวกันก็ช่วยลดภาระของบริษัทฯได้ในระดับหนึ่งด้วย
ที่มา : http://www.oic.or.th/th/consumer/news/releases/87588
29/08/2560