ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ยุคระบบเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล โดยที่เทคโนโลยีดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุนการทำงานเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสและความท้าทายที่ภาคอุตสาหกรรมประกันภัยไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สำนักงาน คปภ. ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเข้าสู่ยุคดิจิทัลที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว จึงได้ยกระดับการกำกับและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสภาพแวดล้อม (ecosystem) ที่เหมาะสมต่อการดำเนินธุรกิจประกันภัยในยุคดิจิทัลที่มีการแข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้น และรองรับการขับเคลื่อนไปสู่ digital insurance regulator เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว บริษัทประกันภัยและประชาชนสามารถใช้ประโยชน์และเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยังคงรักษาระดับความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ ด้วยการเปิดโครงการ Insurance Regulatory Sandbox เป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทประกันภัย นายหน้าประกันภัยนิติบุคคล หรือ FinTech Firms ที่ร่วมกับบริษัทประกันภัยหรือนายหน้าประกันภัยนิติบุคคลเข้าร่วมโครงการ โดยธุรกรรมที่นำมาทดสอบต้องเป็นธุรกรรมที่อยู่ในขอบเขตการกำกับดูแลของสำนักงาน คปภ. และเป็นนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและ/หรือลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจ

สำหรับการเปิดโครงการนี้ สามารถยื่นใบสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมาเบื้องต้นได้มี FinTech Firms และบริษัทประกันภัยเข้ามาหารือแล้วจำนวนมาก ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการสมัคร ภายหลังจากส่งเอกสารเรียบร้อยแล้ว สำนักงาน คปภ. จะนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาการเข้าร่วมโครงการต่อไป ซึ่งสำนักงาน คปภ. หวังว่าจะเป็นสนามทดสอบให้แก่ภาคเอกชนในการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัย  เพื่อช่วยลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจ รวมไปถึงพัฒนาสินค้าและบริการต่างๆ และปรับตัวได้ทันกับเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงกิจกรรมการใช้บริการของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย ทั้งยังจะช่วยให้สำนักงาน คปภ. ได้ปรับตัวในการพิจารณากฎระเบียบต่างๆให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันอีกด้วย

ที่ผ่านมาสำนักงาน คปภ. ได้ร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงาน กลต. จัดตั้งคณะทำงานร่วมเกี่ยวกับการพัฒนาฟินเทค และ Regulatory Sandbox ระหว่าง 3 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันพิจารณาแนวทางพร้อมทั้งผลักดันให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินที่เป็นประโยชน์ สร้างมาตรฐานการกำกับดูแลให้มีความสอดคล้องกันเพื่อลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึงยิ่งขึ้นโดยได้รับความคุ้มครองอย่างเหมาะสม

ดร.สุทธิพล กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมเชื่อมั่นว่าโครงการ Insurance Regulatory Sandbox จะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมประกันภัยไทยมีพัฒนาการในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อตอบสนองต่อบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคฟินเทค โดยที่การดำเนินการตามช่องทางปกติอาจจะติดขัดต่อกฎกติกาในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องมีโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัยขึ้น ทั้งนี้ เป็นแนวทางที่หลายประเทศนำมาใช้แล้วประสบผลสำเร็จ ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้กำหนดเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองผู้บริโภค โดยกำหนดให้ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจะต้องมีมาตรการในการกำกับดูแลผู้เอาประกันภัยเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเต็มที่เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วนเพียงพอในการพิจารณาตัดสินใจ และผู้สมัครต้องแจ้งให้ผู้เอาประกันภัยทราบว่าเป็นโครงการทดสอบในโครงการ Insurance Regulatory Sandbox  ซึ่งผู้เอาประกันภัยยินยอมที่จะใช้นวัตกรรมที่นำมาทดสอบขณะเดียวกันต้องมีช่องทางและมาตรการในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียน รวมถึงมีแผนการชดเชยให้ผู้เอาประกันภัย หรือผู้ได้รับความเสียหายจากความผิดพลาดของการทดสอบ” 

 

ที่มา : http://www.oic.or.th/th/consumer/news/releases/87426


12/07/2560

แชร์

 

บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) ใช้งานคุกกี้ (Cookies) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ หากท่านปฏิเสธคุกกี้ หรือยังคงใช้งานเว็บไซต์ต่อไป บริษัทฯจะยังคงเก็บคุกกี้ ที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานเว็บไซต์ของท่านเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม

ปฏิเสธ ยอมรับ